วาล์ว (Valves) คืออะไร ? ประเภท และการเลือกใช้งานอย่างเหมาะสม

วาล์ว คือ
สารบัญเนื้อหา

วาล์วเป็นอุปกรณ์สำคัญที่มีบทบาทหลักในการควบคุมการไหลของของเหลว ก๊าซ หรือไอน้ำในระบบท่อต่างๆ ทั้งในอุตสาหกรรมและชีวิตประจำวัน ความสามารถในการเปิด-ปิด หรือปรับแรงดันและอัตราการไหลตามความต้องการทำให้วาล์วกลายเป็นอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้ในระบบท่อ บทความนี้จะนำเสนอความรู้เกี่ยวกับวาล์ว ประเภทต่างๆ และวิธีการเลือกใช้งานอย่างเหมาะสม

วาล์ว (Valves) คืออะไร?


วาล์ว หรือ Valves คืออุปกรณ์เชิงกลที่ใช้ควบคุมการไหลของของเหลว ก๊าซ หรือไอน้ำในระบบท่อ โดยทำหน้าที่เปิด-ปิด หรือปรับแรงดันและอัตราการไหลได้ตามที่ผู้ใช้งานต้องการ หลักการทำงานของวาล์วอาศัยการเคลื่อนที่ของชิ้นส่วนภายในที่เรียกว่า “ตัวปิด” (Closure element) ซึ่งเคลื่อนที่เข้าหรือออกจากที่นั่งของวาล์ว (Valve seat) เพื่อควบคุมการไหลของของไหล

วาล์ว (Valves) คืออะไร

วาล์วถูกนำมาใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น

  • โรงงานอุตสาหกรรมการผลิต
  • ระบบประปาและการบำบัดน้ำเสีย
  • อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ
  • โรงไฟฟ้าและระบบพลังงาน
  • ระบบทำความร้อนและระบบปรับอากาศ
  • อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม
  • ระบบท่อในอาคารและบ้านเรือน

การทำงานของวาล์วไม่เพียงแต่ควบคุมการไหลเท่านั้น แต่ยังช่วยในการป้องกันการไหลย้อนกลับ การระบายแรงดันส่วนเกิน และการแยกส่วนของระบบเพื่อการซ่อมบำรุง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยให้กับระบบทั้งหมด

 

ประเภทของวาล์วในอุตสาหกรรม


วาล์วในอุตสาหกรรมมีหลากหลายประเภท โดยแต่ละประเภทมีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกัน การเลือกใช้วาล์วให้เหมาะสมกับงานจะช่วยให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ประเภทของวาล์วที่พบบ่อยในอุตสาหกรรม ได้แก่

1. Gate Valve (วาล์วประตูน้ำ หรือ เกทวาล์ว)

Gate Valve เป็นวาล์วที่มีลักษณะการทำงานแบบเปิด-ปิดสมบูรณ์ โดยตัวปิดจะเคลื่อนที่ขึ้น-ลงในแนวตั้งฉากกับทิศทางการไหล เมื่อเปิดเต็มที่ จะเกิดการสูญเสียแรงดันน้อยมาก เหมาะสำหรับระบบที่ต้องการอัตราการไหลสูงและไม่ต้องการควบคุมการไหลบ่อยครั้ง

ประเภท เกทวาล์ว (Gate Valve)

ข้อดี:

  • สร้างแรงต้านทานการไหลต่ำเมื่อเปิดเต็มที่
  • เหมาะกับระบบที่ต้องการอัตราการไหลสูง
  • ทนทานต่อการกัดกร่อนได้ดี

ข้อจำกัด:

  • ไม่เหมาะสำหรับการควบคุมการไหลแบบปรับละเอียด
  • อาจเกิดการสั่นสะเทือนเมื่อเปิดเพียงบางส่วน
  • ต้องการพื้นที่ในแนวตั้งมากเพื่อให้ตัวปิดเคลื่อนที่ได้

2. Globe Valve (วาล์วโกลบ)

Globe Valve เป็นวาล์วที่มีตัวปิดเป็นแผ่นกลม ทำงานโดยการเคลื่อนที่ขึ้น-ลงเพื่อปิดหรือเปิดรูที่ของไหลไหลผ่าน การออกแบบทำให้ของไหลเปลี่ยนทิศทางภายในวาล์ว เหมาะสำหรับการควบคุมอัตราการไหลแบบละเอียด

ประเภท โกลบวาล์ว (Globe valve)

ข้อดี:

  • สามารถควบคุมอัตราการไหลได้อย่างแม่นยำ
  • ทนทานต่อการใช้งานที่มีการเปิด-ปิดบ่อย
  • ซีลได้ดีแม้ในสภาวะที่มีอุณหภูมิสูง

ข้อจำกัด:

  • สร้างแรงต้านทานการไหลสูงกว่า Gate Valve
  • อาจมีการสึกหรอของตัวปิดและที่นั่งเร็วกว่า
  • ต้องการแรงหมุนมากกว่าในการเปิด-ปิด

3. Ball Valve (บอลวาล์ว)

Ball Valve มีตัวปิดเป็นทรงกลมที่มีรูตรงกลาง เมื่อหมุน 90 องศาจะเปลี่ยนจากสถานะเปิดเป็นปิดหรือกลับกัน เป็นวาล์วที่ใช้งานง่าย เปิด-ปิดได้รวดเร็ว และมีการรั่วซึมน้อย

ประเภท บอลวาล์ว (Ball valve)

ข้อดี:

  • เปิด-ปิดได้รวดเร็วด้วยการหมุนเพียง 1/4 รอบ
  • มีการรั่วซึมน้อยมาก
  • สร้างแรงต้านทานการไหลต่ำเมื่อเปิดเต็มที่
  • ทนทานต่อของไหลที่มีอนุภาคแขวนลอย

ข้อจำกัด:

  • ไม่เหมาะกับการควบคุมการไหลแบบละเอียด
  • ซีลอาจเสียหายเมื่อใช้งานที่อุณหภูมิสูงมาก
  • การเปิด-ปิดอย่างรวดเร็วอาจก่อให้เกิดปรากฏการณ์ Water Hammer

4. Butterfly Valve (วาล์วผีเสื้อ)

Butterfly Valve มีตัวปิดเป็นแผ่นกลมที่หมุนรอบแกนตรงกลาง เมื่อหมุน 90 องศา จะเปลี่ยนจากสถานะเปิดเป็นปิดหรือกลับกัน มีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา และต้นทุนไม่สูง

ประเภท บัตเตอร์ฟลายวาล์ว (Butterfly Valve)

ข้อดี:

  • ขนาดกะทัดรัด ประหยัดพื้นที่ในการติดตั้ง
  • น้ำหนักเบา ต้นทุนต่ำกว่าวาล์วประเภทอื่น
  • สามารถควบคุมการไหลได้พอสมควร
  • ติดตั้งง่าย และบำรุงรักษาน้อย

ข้อจำกัด:

  • ไม่เหมาะกับแรงดันและอุณหภูมิที่สูงมาก
  • อาจเกิดการรั่วซึมที่ซีลเมื่อใช้งานไประยะหนึ่ง
  • ตัวปิดยังคงอยู่ในเส้นทางการไหล ทำให้เกิดแรงต้านทานแม้เปิดเต็มที่

5. Check Valve (วาล์วกันกลับ หรือ เช็ควาล์ว)

Check Valve เป็นวาล์วที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการไหลย้อนกลับของของไหล โดยจะเปิดเมื่อของไหลไหลไปในทิศทางที่ต้องการ และปิดโดยอัตโนมัติเมื่อของไหลพยายามไหลย้อนกลับ

ประเภทเช็ควาล์ว กันกลับ (Check Valve)

ข้อดี:

  • ทำงานโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องควบคุมด้วยมือ
  • ป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดจากการไหลย้อนกลับ
  • มีหลายแบบให้เลือกใช้ตามความเหมาะสม

ข้อจำกัด:

  • ไม่สามารถควบคุมการไหลได้
  • อาจเกิดการกระแทกเมื่อปิดอย่างรวดเร็ว
  • ต้องการแรงดันขั้นต่ำเพื่อให้ทำงานได้อย่างเหมาะสม

6. Pressure Relief Valve (วาล์วระบายแรงดัน)

Pressure Relief Valve ทำหน้าที่ปกป้องระบบจากแรงดันที่สูงเกินไป โดยจะเปิดโดยอัตโนมัติเมื่อแรงดันในระบบสูงเกินค่าที่กำหนด และปิดเมื่อแรงดันลดลงถึงระดับที่ปลอดภัย

ประเภท วาล์วระบายแรงดัน (Pressure Relief Valve)

ข้อดี:

  • เพิ่มความปลอดภัยให้กับระบบ
  • ป้องกันความเสียหายของอุปกรณ์จากแรงดันที่สูงเกินไป
  • ทำงานโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องควบคุมด้วยมือ

ข้อจำกัด:

  • ต้องมีการตรวจสอบและบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ
  • อาจเกิดการรั่วซึมเมื่อใช้งานไประยะหนึ่ง
  • ต้องเลือกขนาดให้เหมาะสมกับความต้องการของระบบ

7. Solenoid Valve (โซลินอยด์วาล์ว)

Solenoid Valve เป็นวาล์วที่ควบคุมด้วยไฟฟ้า โดยใช้ขดลวดโซลินอยด์ในการควบคุมการเปิด-ปิด เหมาะสำหรับระบบที่ต้องการควบคุมอัตโนมัติหรือควบคุมจากระยะไกล

ประเภท โซลินอยด์วาล์ว (Solenoid Valve)

ข้อดี:

  • ควบคุมด้วยไฟฟ้า สามารถเชื่อมต่อกับระบบควบคุมอัตโนมัติได้
  • เปิด-ปิดได้รวดเร็ว
  • สามารถควบคุมจากระยะไกลได้

ข้อจำกัด:

  • ต้องการแหล่งจ่ายไฟฟ้า
  • อาจมีปัญหาเมื่อใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีสภาวะที่รุนแรง
  • ขนาดและอัตราการไหลที่รองรับได้อาจจำกัด

วิธีเลือกวาล์วให้เหมาะกับการใช้งาน


การเลือกวาล์วที่เหมาะสมกับการใช้งานเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยืดอายุการใช้งาน และลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา การพิจารณาเลือกวาล์วควรคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ดังต่อไปนี้:

1. ดูประเภทของของไหล

ประเภทของของไหลมีผลโดยตรงต่อการเลือกวาล์ว เนื่องจากของไหลแต่ละประเภทมีคุณสมบัติทางเคมีและทางกายภาพที่แตกต่างกัน

  • น้ำ: สำหรับระบบน้ำทั่วไป สามารถใช้วาล์วได้หลายประเภท เช่น Gate Valve สำหรับท่อเมน Ball Valve สำหรับการเปิด-ปิดบ่อย และ Globe Valve สำหรับการควบคุมอัตราการไหล
  • น้ำมัน: ต้องเลือกวาล์วที่มีซีลทนต่อการกัดกร่อนของน้ำมัน เช่น Ball Valve ที่มีซีลเป็น PTFE
  • แก๊ส: ต้องใช้วาล์วที่มีความสามารถในการป้องกันการรั่วซึมสูง เช่น Ball Valve หรือ Butterfly Valve ที่มีซีลคุณภาพสูง
  • ไอน้ำ: เนื่องจากมีอุณหภูมิและแรงดันสูง จึงต้องเลือกวาล์วที่ทนความร้อนและแรงดันสูง เช่น Gate Valve หรือ Globe Valve ที่ทำจากวัสดุทนความร้อนสูง
  • ของเหลวกัดกร่อน: ต้องเลือกวาล์วที่ทำจากวัสดุทนการกัดกร่อน เช่น สแตนเลส หรือ PTFE-lined

2. เลือกตามแรงดันและอุณหภูมิ

แรงดันและอุณหภูมิเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกวาล์ว เนื่องจากวาล์วแต่ละประเภทมีขีดจำกัดในการรับแรงดันและอุณหภูมิที่แตกต่างกัน

  • แรงดันต่ำ (0-10 bar): Ball Valve, Butterfly Valve และ Diaphragm Valve เหมาะสำหรับการใช้งานที่มีแรงดันต่ำ
  • แรงดันปานกลาง (10-50 bar): Gate Valve และ Globe Valve สามารถรองรับแรงดันในระดับนี้ได้ดี
  • แรงดันสูง (มากกว่า 50 bar): ต้องใช้วาล์วที่ออกแบบพิเศษสำหรับแรงดันสูง เช่น High-pressure Gate Valve หรือ Needle Valve
  • อุณหภูมิต่ำ (ต่ำกว่า 0°C): ต้องใช้วาล์วที่มีวัสดุทนความเย็น และมีการออกแบบที่รองรับการหดตัวของวัสดุ
  • อุณหภูมิสูง (มากกว่า 200°C): ต้องใช้วาล์วที่ทำจากวัสดุทนความร้อนสูง เช่น สแตนเลสเกรดพิเศษ หรือโลหะผสมพิเศษ

3. พิจารณารูปแบบการควบคุม

รูปแบบการควบคุมการไหลมีผลต่อการเลือกประเภทของวาล์ว

  • การเปิด-ปิดเร็ว: Ball Valve และ Butterfly Valve เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการเปิด-ปิดที่ต้องการความรวดเร็ว
  • การควบคุมอัตราการไหลแบบละเอียด: Globe Valve และ Needle Valve ให้การควบคุมที่แม่นยำกว่า
  • การควบคุมอัตโนมัติ: Solenoid Valve และ Control Valve เหมาะสำหรับระบบที่ต้องการการควบคุมโดยอัตโนมัติ
  • การป้องกันการไหลย้อนกลับ: Check Valve ทำงานโดยอัตโนมัติเพื่อป้องกันการไหลย้อนกลับ
  • การระบายแรงดันเกิน: Pressure Relief Valve ช่วยป้องกันระบบจากแรงดันที่สูงเกินไป

4. เลือกวัสดุให้เหมาะสม

วัสดุของวาล์วต้องเข้ากันได้กับของไหลที่ไหลผ่านและสภาพแวดล้อมในการใช้งาน

  • ทองเหลือง: เหมาะสำหรับน้ำที่มีแรงดันและอุณหภูมิไม่สูงมาก ทนการกัดกร่อนได้ดีพอสมควร นิยมใช้ในระบบประปาทั่วไป
  • สแตนเลส: ทนการกัดกร่อนได้ดีเยี่ยม เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร เภสัชกรรม และระบบที่ต้องการความสะอาดสูง
  • เหล็กหล่อ: แข็งแรง ทนทาน ราคาประหยัด เหมาะสำหรับระบบน้ำขนาดใหญ่ แต่มีความต้านทานการกัดกร่อนต่ำ
  • เหล็กหล่อเหนียว: แข็งแรงกว่าเหล็กหล่อธรรมดา ทนแรงกระแทกได้ดี เหมาะสำหรับงานที่มีแรงดันและอุณหภูมิสูง
  • พลาสติก (PVC, CPVC, PP): น้ำหนักเบา ทนการกัดกร่อนได้ดี ราคาประหยัด แต่ไม่เหมาะกับอุณหภูมิและแรงดันสูง
  • PTFE (Teflon): ทนการกัดกร่อนทางเคมีได้ดีเยี่ยม มักใช้เป็นวัสดุสำหรับซีลหรือเคลือบภายในวาล์ว

5. ดูขนาดและการเชื่อมต่อ

ขนาดและวิธีการเชื่อมต่อของวาล์วต้องเข้ากันได้กับระบบท่อที่มีอยู่

  • ขนาด: ต้องเลือกวาล์วที่มีขนาดเหมาะสมกับท่อและอัตราการไหลที่ต้องการ วาล์วที่เล็กเกินไปจะทำให้เกิดแรงต้านทานสูง ส่วนวาล์วที่ใหญ่เกินไปจะทำให้ควบคุมได้ยากและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย
  • การเชื่อมต่อแบบหน้าแปลน (Flanged): นิยมใช้ในระบบท่อขนาดใหญ่ ถอดประกอบง่าย แต่มีค่าใช้จ่ายสูง
  • การเชื่อมต่อแบบเกลียว (Threaded): เหมาะสำหรับท่อขนาดเล็กถึงกลาง ติดตั้งง่าย แต่อาจเกิดการรั่วซึมตามรอยเกลียวได้
  • การเชื่อมต่อแบบเชื่อมติด (Welded): ให้ความแข็งแรงสูง ป้องกันการรั่วซึมได้ดี แต่ไม่สามารถถอดออกได้ง่าย
  • การเชื่อมต่อแบบบีบอัด (Compression): ติดตั้งง่าย ไม่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษ เหมาะสำหรับท่อขนาดเล็ก

การบำรุงรักษาวาล์ว


การบำรุงรักษาวาล์วอย่างเหมาะสมช่วยยืดอายุการใช้งานและรักษาประสิทธิภาพของระบบท่อ

  • การตรวจสอบตามระยะเวลา: ควรมีการตรวจสอบสภาพวาล์วเป็นประจำ โดยสังเกตการรั่วซึม การกัดกร่อน หรือความผิดปกติในการทำงาน
  • การหล่อลื่น: วาล์วบางประเภทต้องการการหล่อลื่นตามระยะเวลา โดยเฉพาะส่วนที่เคลื่อนไหว เช่น ก้านวาล์ว
  • การทำความสะอาด: สิ่งสกปรกและตะกรันอาจสะสมในวาล์วและทำให้ประสิทธิภาพลดลง จึงควรมีการทำความสะอาดตามความเหมาะสม
  • การเปลี่ยนซีล: ซีลเป็นส่วนที่สึกหรอได้ง่าย ควรมีการตรวจสอบและเปลี่ยนตามระยะเวลาหรือเมื่อพบการรั่วซึม
  • การใช้งานเป็นระยะ: วาล์วที่ไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานานอาจติดขัดหรือเสียหายได้ จึงควรมีการเปิด-ปิดเป็นระยะ

สรุป


วาล์วเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญในระบบท่อ การเลือกวาล์วที่เหมาะสมกับการใช้งานจะช่วยให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์อื่นๆ ในระบบ การพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ประเภทของของไหล แรงดันและอุณหภูมิ รูปแบบการควบคุม วัสดุ และขนาดและการเชื่อมต่อ จะช่วยให้สามารถเลือกวาล์วได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ การบำรุงรักษาวาล์วอย่างสม่ำเสมอยังเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้วาล์วทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน

การเลือกใช้วาล์วที่เหมาะสมไม่เพียงแต่ช่วยให้ระบบทำงานได้อย่างราบรื่นเท่านั้น แต่ยังช่วยประหยัดพลังงาน ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง และเพิ่มความปลอดภัยให้กับระบบโดยรวม ดังนั้น การทำความเข้าใจเกี่ยวกับประเภทและการเลือกใช้วาล์วจึงเป็นความรู้พื้นฐานที่สำคัญสำหรับวิศวกร ช่างเทคนิค และผู้ที่เกี่ยวข้องกับระบบท่อในทุกอุตสาหกรรม

เลือกซื้อวาล์วอุตสาหกรรมกับ ARITA Valve

ที่ ARITA มีวาล์วให้เลือกหลายประเภท เหมาะสำหรับทุกการใช้งาน พร้อมเจ้าหน้าที่มากประสบการณ์คอยให้คำแนะนำฟรี